วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

สูตรต้มข่าไก่ พร้อมเคล็ดลับวิธีทำต้มข่าไก่ให้อร่อย

สูตรต้มข่าไก่ นั้นว่าไปแล้วก็คล้ายกับการทำต้มยำทั่วไป เพียงแต่ต้มข่าไก่จะมีการใส่กะทิเพิ่มลงไป ส่วนเครื่องปรุงอื่นๆ ก็คล้ายกับต้มยำ สำหรับวันนี้ Zabwer.com ได้นำสูตรต้มข่าไก่ พร้อมเคล็ดลับวิธีทำต้มข่าไก่ให้อร่อยมานำเสนอ ถือเป็นอีกเมนูอาหารไทยที่อร่อยครบรส มีไก่เนื้อนุ่ม รสชาติออกเปรี้ยว เค็ม และหวานมันจากกะทิ น้ำแกงไม่ข้นมากจนเกินไปและไม่ใสจนเกินไป จุดเด่นคือความมันเข้มข้นจากกะทิและหอมกลิ่นสมุนไพรไทย เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมรองจากต้มยำกุ้ง โดยเฉพาะในกลุ่มชาวต่างชาติ เพียงมีส่วนประกอบหลักคือ ไก่ เห็ด ชุดเครื่องต้มยำ และกะทิสักกล่องก็สามารถทำต้มข่าไก่แสนอร่อยได้แล้ว หรืออาจจะดัดแปลงใส่กุ้งแทนไก่ก็ได้เช่นกัน


ส่วนผสมต้มข่าไก่
1. เนื้ออกไก่หั่นชิ้นพอคำ (แล้วแต่ปริมาณที่ต้องการใส่)
2. ใบมะกรูด(จะหั่นหรือจะฉีกตอนจะใส่ลงหม้อก็ได้) 4 -6 ใบ
3. เห็ดนางฟ้าหรือเห็ดฟาง 1/2 ถ้วย
4. ตะไคร้ล้างสะอาด ทำการทุบหั่นเฉียง 1/2 ต้น
5. ข่าอ่อน ทำการปอกเปลือกนำไปหั่นเป็นแว่นพอคำ 20 แว่น
6. มะเขือเทศ 3 ลูก หั่นเป็นแว่นๆ
7. หอมแดง
8. พริกขี้หนูสวนให้ทุบแตก 5 เม็ด
(ถ้าต้องการเผ็ดมากใส่เพิ่มได้…ถ้าไม่ทานเผ็ดใช้พริกจินดา)
9. หางกะทิ 2 ถ้วย
10. หัวกะทิ 1 ถ้วย
11. เกลือป่น 1 ช้อนชา
12. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
13. น้ำมะนาว 2-3 ช้อนโต๊ะ
14. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
15. ผักชี สำหรับโรยหน้า

วิธีทำ
  1. หั่นเนื้อไก่และผักต่างๆตามสูตรเตรียมไว้ก่อนให้พร้อม
  2. ตั้งกระทะหรือหม้อ ใส่หางกะทิลงไปและใส่เกลือเล็กน้อย ใช้ไฟแรงปานกลาง ต้องคอยคนเป็นระยะๆ ไม่ให้กระทิมันแตกมัน (กะทิจะเป็นลูกหรือแยกตัว)…คนจนมันเริ่มเดือด
  3. แล้วจึงใส่ข่า ตะไคร้ และใบมะกรูดลงไป (ใครมีรากผักชี ก็ทุบใส่เพิ่มลงไป) เคี่ยวไปประมาณ 5 นาที จนได้กลิ่นหอม
  4. ใส่เนื้อไก่ลงไป ใช้ทัพพีกดไก่ให้มิดแต่ไม่ต้องคน รอให้เดือดอีกครั้ง
  5. ใส่หัวกะทิ เห็ด และมะเขือเทศลงไป คนให้เข้ากัน …รอสักพักจนน้ำแกงเดือด
  6. จากนั้นใส่พริกขี้หนูทุบลงไป (ถ้าไม่ทานเผ็ด ก็ไม่ต้องใส่พริกขี้หนู …ให้ใส่พริกจินดาเป็นเม็ดๆลงไปแทนก็ได้) คนให้เข้ากัน … แล้วปิดเตาได้
  7. ปรุงรสเลย ใส่น้ำปลา น้ำมะขามเปียกหรือน้ำมะนาวก็ได้ และน้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน…ชิมรสให้ออกเปรี้ยว เค็ม และหวาน กลมกล่อมจากกะทิ…(ค่อยๆปรุงใส่ทีละนิด ไม่อร่อยจึงเติมเพิ่ม แต่ถ้าใส่ทีละเยอะๆแล้วไม่อร่อยมันแก้ยาก)
  8. เสร็จแล้วตักใส่ชาม โรยหน้าด้วยผักชีเล็กน้อย พร้อมเสิร์ฟทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ
ลักษณะที่ดีของต้มข่าไก่
น้ำแกงต้องไม่แตกมัน ไก่เนื้อนุ่ม น้ำแกงไม่ข้นมากจนเกินไปและไม่ใสจนเกินไป

เคล็ดลับวิธีทำต้มข่าไก่ให้อร่อย
  • กรณีที่ต้มข่าไก่แล้วกะทิลอยแตกมัน ที่ลอยเพราะปริมานน้ำมากกว่ากะทิ…ถ้าไม่ให้ลอย ต้องลดน้ำลงตอนต้มเหลือแค่ขลุกขลิกพอหรือใส่น้ำนิดเดียว แล้วจึงใส่กะทิ …แต่สำหรับสูตรที่เขาใช้กะทิล้วนๆ (หางกะทิ + หัวกะทิ) ก็มักจะไม่เกิดปัญหานี้จะได้น้ำแกงออกมาเนียน ซึ่งขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละคน …แต่ถ้าเกิดกรณีกะทิลอยแตกมันก็ลองนำเทคนิคนี้ไปปรับใช้ได้ครับ
  • เนื้อไก่ เช่น น่องไก่เล็ก, ปีกกลางไก่ (ส่วนนี้รับประทานง่าย เปื่อยเร็ว ให้น้ำซุปด้วย เพราะมีกระดูก สับครึ่ง ใช้ 6 – 7 อัน / 1 ชามใหญ่ ๆ), ถ้าใช้ส่วนอกหรือสะโพกก็หั่นเป็นชิ้นพอคำ (เนื้อไก่ควรเป็นส่วนของอกไก่ เพื่อความแน่นและกลมกล่อม) เป็นต้น
  • ข่า จะใช้ข่าอ่อนหรือข่าแก่ก็ได้ …แต่ข่าอ่อนจะอร่อยกว่า …หั่นชิ้นเท่าๆกัน หรือหั่นเป็นดอกไม้
  • ตะไคร้ หั่นแฉลบ แล้วแช่น้ำผสมน้ำมะนาวเพื่อให้สีคงตัว
  • มะเขือเทศ จะใส่หรือไม่ก็ได้ตามชอบ แต่ถ้าอยากกินเพื่อสุขภาพก็แนะนำให้ใส่ลงไปด้วย
  • ควรใช้ไฟปานกลางในการประกอบอาหาร
  • ถ้าอยากให้น้ำแกงต้มข่าไก่มีสีออกเหลืองสวยสักหน่อย ก็ให้ใส่น้ำมันน้ำพริกเผาหรือน้ำพริกเผาลงไปด้วย
  • ถ้าต้องการรสเผ็ด ให้ใส่พริกสด หรือน้ำพริกเผา หรือน้ำมันน้ำพริกเผาลงไปก็ได้ ปริมาณตามความชอบเผ็ด ส่วนพริกสดนั้นใช้เป็นพริกขี้หนูสวนทุบจะได้ความเผ็ดและความหอมจากพริกนี้ แต่ถ้าไม่ชอบเผ็ดก็ใส่เป็นพริกจินดา หรือพริกแห้งก็ได้

วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

สูตรน้ำจิ้มข้าวหมกไก่อร่อย

แม้ว่าข้าวหมกไก่ที่ทำให้นักชิมทั้งหลายต่างถูกปากถูกใจนั้น เสน่ห์อยู่ที่เครื่องหอมของเครื่องเทศที่แทรกซึมเข้าไปในเนื้อไก่และตัวข้าว แต่คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าถ้าขาดน้ำจิ้มข้าวหมกไก่รสเด็ดไป ก็คงจะขาดสีสันลดความอร่อยของข้าวหมกไก่ลงไปมิใช่น้อย แต่ในทางกลับกันถ้าน้ำจิ้มอร่อยก็จะเป็นตัวชูโรงเพิ่มความอร่อยได้ดีนักเชียว แถมวิธีทำน้ำจิ้มข้าวหมกไก่นั้นก็ทำได้ง่ายๆด้วย สำหรับสูตรน้ำจิ้มข้าวหมกไก่ที่ zabwer.com นำฝากนี้ รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ หวานนำ มีความพิเศษตรงที่ใส่ใบระแหน่ลงไปด้วยทำให้น้ำจิ้มที่ได้มีสีเขียวเข้มมรกตและกลิ่นหอมน่ารับประทานยิ่ง ที่สำคัญเมื่อรับประทานคู่กับช้าวหมกไก่ ข้าวหมกหมกเนื้จานโปรดของคุณแล้วรสชาติอร่อยกลมกล่อมเข้ากันดีนักเชียว


เครื่องปรุงสำหรับน้ำจิ้มข้าวหมกไก่ 
  1. ต้นหอม 8 ต้น 
  2. ผักชี 10-12 ต้น 
  3. ขิงแก่ 1 ถ้วย 
  4. พริกชี้ฟ้าเขียว 4 เม็ด (หรือใส่เพิ่มได้ตามใจชอบ) 
  5. กระเทียมกลีบ 20 เม็ด (ใส่หรือไม่ก็ได้ตามชอบ) 
  6. ใบสะระแหน่ 1 ถ้วย 
  7. น้ำตาลทราย 1 1/3 ถ้วย 
  8. เกลือป่น 4 ช้อนชา 
  9. น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย 
  10. น้ำเปล่า 4 ช้อนโต๊ะ 

วิธีทำน้ำจิ้มข้าวหมกไก่
1. อันดับแรกทำน้ำเชื่อมก่อนคือ นำน้ำตาลทราย เกลือ และน้ำเปล่าใส่ลงในหม้อ นำไปตั้งไฟปานกลาง คนเรื่อยๆ จนน้ำตาลละลาย ปิดเตา ยกลง พักไว้ก่อน 
2. ตัดรากต้นหอม ผักชี ปลอกเปลือกขิง และตัดขั้วพริกชี้ฟ้า ล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วนำทุกอย่างมาซอยหยาบๆ จากนั้นนำเครื่องที่ซอยไว้ใส่ลงในเครื่องปั่น แล้วปั่นเครื่องทั้งหมดให้ละเอียด
3. จากนั้นให้ใส่น้ำส้มสายชูลงไปในน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้และคนให้เข้ากัน ใส่ตามด้วยผักที่ปั่นเตรียมไว้ลงไป แล้วคนให้ทั้งหมดเข้ากัน



3 สูตรหมูหวานเลิศรส ทานกับอะไรก็อร่อย
หมูหวาน (Moo Wan or Sweet Pork) อีกสูตรอาหารไทยที่ทำง่ายและอร่อย มีรสหวานกลมกล่อมตัดเค็มนิดๆ บวกกับความนุ่มอร่อยของเนื้อหมู ไม่ว่าเราจะทานกับข้าวสวย หรือข้าวต้มร้อนๆก็อร่อยจนไม่อยากวางมือเลย รับประทานแล้วก็อยากรับประทานอีก นอกจากนี้ หมูหวานสามารถรับประทานกับสาระพัดน้ำพริกก็อร่อยเข้ากันดี ทานกับแกงส้ม หรือกับสาระพัดอาหารได้แทบทั้งสิ้น ยิ่งถ้าเป็นเมนูข้าวคลุกกะปิยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าทำข้าวคลุกกะปิแล้วไม่มีหมูหวานนี่คงหาความอร่อยครบรสได้ยาก

สำหรับหมูหวานแต่ละสูตรก็มีวิธีทำแตกต่างกันไป แล้วแต่ใครเห็นว่าสูตรไหนอร่อย สำหรับหมูหวานทั้ง 3 สูตรที่เรา zabwer.com นำมาฝากนี้ เป็นสูตรหมูหวานที่รับรองว่าอร่อยนุ่ม แต่มีขั้นตอนวิธีทำที่แตกต่างกัน จึงอยากนำมาฝากเผื่อใครที่กำลังสนใจหาสูตรหมูหวานอร่อยๆทำทานเองที่บ้าน ก็ตามไปดูกันเลยครับ

หมูหวานสูตรที่ 1

หมูหวานสูตรนี้ เป็นการนำกระเทียมมาผัดพอหอม ตามด้วยหมูสามชั้นผัดพอสุก นำมาปรุงรสนู่นนี่นั่น แล้วก็เคี่ยวไปเรื่อยๆจนเนื้อนุ่ม จากนั้นถึงนำมาผัดกับน้ำตาลปี๊บจนเครื่องปรุงเข้าเนื้อ มีรสหวานกลมกล่อมตัดเค็มนิดๆ นุ่มอร่อย แต่ถ้าใครที่ ไม่ชอบทานเนื้อติดมันก็สามารถใช้เนื้อส่วนสันคอหมูแทนก็ได้ ให้ความอร่อยนุ่มเช่นกัน (ใครกลัวอ้วนยิ้มออกแล้วละซิ^_^)

ส่วนผสมหมูหวาน (สำหรับ 4 ที่)
หมูสามชั้น 400 กรัม
หอมแดงปอกเปลือก 12 หัว
น้ำมันถั่วเหลือง 4 ช้อนโต๊ะ
ซอสถั่วเหลือง 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊ป 200 กรัม
ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1 ถ้วย

วิธีทำ 
1. เตรียมวัตถุดิบต่างๆไว้ให้พร้อม ดังนี้
  • ล้างเนื้อหมู และหั่นหมูสามชั้นตามขวางเป็นชิ้นเล็กประมาณหนา 1 เซนติเมตร ยาว 1 นิ้ว 
  • ปอกหอมแดง นำไปล้างให้สะอาดและซอยเป็นแว่นบางๆ 
2. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง เติมน้ำมันพืชสักเล็กน้อยลงไป ใส่หอมแดงลงไปเจียวให้หอม
3. แล้วจึงใส่หมูสามชั้นตามลงไปผัดให้เข้ากันเกือบสุก
4. ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสถั่วเหลือง ถ้าอยากให้หมูหวานมีสีเข้มขึ้นให้ใส่ซีอิ๊วดำลงไป ผัดทั้งหมดให้เข้ากัน
5. เติมน้ำเปล่าลงไป ผัดให้เข้ากัน ปิดฝาเคี่ยวประมาณ 10 นาที…ให้น้ำซอสงวด (คือเมื่อน้ำเริ่มแห้ง)
6. จึงค่อยเติมน้ำตาลปี๊ปลงไป ผัดให้เข้ากัน จนกระทั่งน้ำตาลปี๊ปละลายหมด ปิดไฟ
7. ตักหมูหวานใส่จาน…พร้อมเสิร์ฟ…จะทานกับข้าวสวย หรือข้าวต้มร้อนๆ ก็อร่อยทั้งนั้น

## หมูหวานควรใส่น้ำตาลปี๊บในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อไม่ทำให้หมูสามชั้นรัดตัวแข็งกระด้างเวลาทาน ##


ขอขอบคุณรูปภาพและสูตรจาก:https://www.facebook.com/media/set/?set=a.182871331839223.36875.122876307838726&type=3)

หมูหวานสูตรที่ 2

ขั้นตอนวิธีทำหมูหวานสูตรนี้จะคล้ายกับสูตรที่ 1 แต่จะต่างกันที่ส่วนผสม รับรองสูตรนี้อร่อยไม่ผิดหวัง ยิ่งถ้านำไปทำเป็นเครื่องเคียงข้าวคลุกกะปิยิ่งอร่อยกลมกล่อมเข้ากันดีนัก เป็นสูตรจากเปิดตำราทำอาหารกับแม่อบเชย By Pakavadee Siriprasert ลองนำสูตรไปทำดูนะครับ…เป็นอีกสูตรที่อยากแนะนำ

ส่วนผสม (สำหรับ 6-7 ที่)
สันคอหมู 700 กรัม 
น้ำตาลมะพร้าว 3/4 ถ้วย 
หอมแดงซอย 3/4 ถ้วย 
เกลือ 3 ช้อนชา 
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ 
รากผักชีกระเทียมพริกไทยตำละเอียด (1: 1: ¼) 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. เตรียมวัตถุดิบต่างๆไว้ให้พร้อม ดังนี้
  • ล้างเนื้อหมู และหั่นหั่นสันคอหมูตามขวางเป็นชิ้นเล็กหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร
  • ปอกหอมแดง นำไปล้างให้สะอาดและซอยเป็นแว่นบางๆ
2. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง เติมน้ำมันพืชสักเล็กน้อยลงไป ใส่หอมแดงลงไปเจียวให้หอมจนสุกใส 
3. จากนั้นจึงใส่รากผักชีกระเทียมพริกไทยตำละเอียด และหมู…ลงไปผัดให้เข้ากัน
4. แล้วเติมน้ำเปล่าลงไปพอท่วมหมู…แล้วต้มหมูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเปื่อยนุ่ม
5. ใส่น้ำตาลมะพร้าวเคี่ยวจนน้ำตาลละลาย ปรุงรสด้วยเกลือ เคื่ยวไฟกลางไปเรื่อยๆ…จนน้ำตาลเข้าเนื้อหมู
6. ตักหมูหวานใส่จาน…พร้อมเสิร์ฟ

## หมูหวานควรใส่น้ำตาลปี๊บในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อไม่ทำให้หมูสามชั้นรัดตัวแข็งกระด้างเวลาทาน ##
ขอขอบคุณรูปภาพและสูตรจาก: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pookhakae&month=04-2013&date=01&group=11&gblog=98

หมูหวานสูตรที่ 3

วิธีทำหมูหวานสูตรนี้แตกต่างจากสูตรที่ 1 และ 2 เริ่มจากต้องเคี่ยวน้ำตาลปี๊บให้ละลายและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม…จากนั้นจึงใส่หมูที่เราหั่นเตรียมไว้ลงไปผัดให้เข้ากัน ใส่น้ำเปล่าลงไปพอท่วมหมู แล้วจึงปรุงรสนู่นนี่นั่น ลดไฟลงใช้ไฟอ่อนๆ ปิดฝา เคี่ยวไปเรื่อยๆและหมั่นคนเป็นระยะๆ ประมาณ 20-30 นาที…เคี่ยวไปจนกระทั่งหมูหวานเป็นประกาย เงาใสสวย สีเข้มสวยงาม...(บางคนอาจจะนึกสงสัย เคี่ยวน้ำตาลเป็นคาราเมลแล้วใส่หมูลงไปผัดอย่างนั้นหมูจะไม่แข็งกระด้างเหรอ คำตอบคือไม่แข็งกระด้าง…เพราะเราใช้หมูสามชั้นหรือเนื้อหมูติดมันครับ) หมูหวานที่ได้จากสูตรนี้จะอร่อยนุ่ม ไม่เปื่อยยุ่ย รสชาติก็เข้มข้นหวานกลมกล่อม เค็มตามมาห่างๆกำลังพอดี อีกทั้งกลิ่นหอมของน้ำตาลเคี่ยวทำให้หมูหวานจานนี้น่ารับประทานยิ่งนัก เป็นสูตรจากคุณปูขาเก เซมารู ว่าแล้วก็ไปดูวิธีการทำหมูหวานกันเลยครับ

ส่วนผสมหมูหวาน (สำหรับ 8 ที่)
หมูสามชั้น 850 กรัม 
หอมแดงซอย ½ ถ้วยตวง 
กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ 
น้ำตาลปี๊บ 300 กรัม 
ซีอิ๊วขาว 4 ช้อนโต๊ะ 
น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง 
เกลือป่น เล็กน้อย
ซีอิ๊วดำ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) 2 ช้อนโต๊ะ 
น้ำมันพืชสำหรับผัด 3 ช้อนโต๊ะ 

วิธีทำหมูหวาน 
1. เตรียมวัตถุดิบต่างๆไว้ให้พร้อม ดังนี้
  • ล้างเนื้อหมู และหั่นหมูสามชั้นตามขวางเป็นชิ้นเล็กประมาณหนา 1 เซนติเมตร ยาว 1 นิ้ว
  • ปอกหอมแดง นำไปล้างให้สะอาดและซอยเป็นแว่นบางๆ
  • กระเทียมนำไปล้างและสับหยาบ
2. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลางและใส่น้ำมันพืช ตามด้วยหอมแดงกับกระเทียมลงไปเจียวให้หอม ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป เคี่ยวไปเรื่อยๆ…จนน้ำตาลปี๊บละลายและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงเข้มมีกลิ่นหอม (ระวังอย่าปล่อยให้ไหม้ เดี๋ยวจะขม)เคี่ยวน้ำตาลปี๊บให้ละลายและเคี่ยวต่ออีกสักนิดจนกระทั่งน้ำตาลปี๊บกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม
3. ตามด้วยใส่เนื้อหมูสามชั้นลงไปผัดให้เข้ากัน จึงค่อยเติมน้ำเปล่าลงไปใส่แค่พอท่วมหมูเท่านั้น ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว และเกลือป่น(ชิมรสดูตามชอบ) ถ้าอยากให้สีของหมูหวานเข้มขึ้น ให้ใส่ซีอิ๊วดำลงไปด้วย
4. จากนั้นจึงลดไฟลง…ใช้ไฟอ่อนๆ ให้กระทะหมูหวานเดือดแค่ปุดๆ แล้วจึงเคี่ยวหมูไปเรื่อยๆและหมั่นคนหมูเป็นระยะๆ (เคี่ยวประมาณ 40-50 นาที) เพื่อให้หมูสุกทั่วถึงไม่ไหม้และน้ำตาลเข้าเนื้อหมู…เคี่ยวไปจนกระทั่งหมูหวานเป็นประกาย สีเข้ม เงาใสสวย และน้ำแห้งลงโดยน้ำที่เหลือจะมีลักษณะเป็นยางมะตูม…ก็เสร็จเรียบร้อย…ปิดไฟพักไว้…
5. ตักหมูหวานใส่จาน…พร้อมเสิร์ฟ…จะทานกับข้าวสวย หรือข้าวต้มร้อนๆ ก็อร่อยทั้งนั้น

แนะนำเพิ่มเติม
  • หมูสามชั้นเป็นเนื้อหมูที่นิยมนำมาทำหมูหวาน แต่ถ้าท่านที่ไม่ชอบทานหมูติดมัน…ใช้เป็นสันคอหมูหรือสะโพกหมูแทนก็ได้ ทำมาแล้วเนื้อหมูไม่แข็งกระด้างครับ เพียงแต่อาจให้ความนุ่มๆหนึบๆน้อยกว่าที่ใช้หมูสามชั้น

3 สูตรน้ำพริกอ่อง อร่อยไม่รู้เบื่อ

น้ำพริกอ่อง หรือ Nam Prik Aong (Northern Thai Meat and Tomato Spicy Dip) น้ำพริกรสอร่อยของชาวเหนือ ผสมรสหวานของเนื้อหมู เสน่ห์รสเปรี้ยวอมหวานของมะเขือเทศ ทำให้น้ำพริกถ้วยนี้มีรสชาติอร่อยอย่างไม่รู้เบื่อ ลองถ้าได้นำน้ำพริกอ่องมารับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ แนมด้วยผัก ระวังจะทานเพลินจนข้าวหมดไม่รู้ตัว แม้แต่คนที่ไม่ชอบทานมะเขือเทศ (^_^) zabwer.com ก็ขอแนะนำว่าให้ลองหาน้ำพริกอ่องมาทำทานดูนะครับ...วิธีทำนั้นก็ไม่ยาก...แล้วคุณอาจจะหลงรักมะเขือเทศขึ้นมาก็ได้ เมื่อได้ทานแล้วก็อยากทานอีก อร่อยและได้คุณค่าเช่นนี้ เราก็อยากให้ลองมาทำทานกัน สูตรวิธีทำน้ำพริกอ่องก็ง่ายๆตามนี้เลยครับ


สูตรที่ 1 น้ำพริกอ่องสูตรดั้งเดิม ชาวเหนือ

น้ำพริกอ่องสูตรดั้งเดิมจะไม่ใส่น้ำตาล เพราะรสเปรี้ยวและหวานจะได้จากผลของมะเขือเทศ ที่ผสมรสหวานของเนื้อหมูอีกด้วย

ส่วนผสมของน้ำพริกอ่อง
เนื้อหมูบด 400 กรัม 
มะเขือเทศลูกเล็ก 20 ลูก 
ผักชีและต้นหอมซอย (เพื่อโรยหน้า) อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ 
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ 

เครื่องแกงน้ำพริกอ่อง 
พริกขี้หนูแห้ง 20 เม็ด 
หอมแดง 5 หัว 
กระเทียมไทย (กลีบเล็ก หรือกลีบใหญ่ก็ได้) 10 กลีบ 
กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ 
เกลือ ½ ช้อนชา


    วิธีทำ
    1. โขลกพริก หอมแดง กระเทียม รวมกันให้ละเอียด
    2. ใส่กะปิและเกลือ โขลกให้เข้ากัน
    3. ผัดเครื่องแกงกับน้ำมัน จนมีกลิ่นหอม ใส่เนื้อหมูบด ลงผัดให้สุก เติมน้ำเล็กน้อย
    4. พอเดือด ใส่มะเขือเทศ ลงผัดให้เข้ากัน ตั้งไฟต่อจนมะเขือเทศสุก ปิดไฟ

    สูตรและรูปภาพจาก: น้ำพริกอ่อง.blogspot.com 

    สูตรที่ 2 น้ำพริกอ่องสูตรนี้ทำง่าย อร่อยเวอร์

    สำหรับสูตรนี้จะไม่เหมือนสูตรของทางเชียงใหม่ สูตรนี้จะออกหวานนิดๆและมีรสชาติกลมกล่อม สามารถรับประทานได้ไม่รู้เบื่อ


    สูตรและรูปภาพจาก:Tukata001 

    ส่วนผสมน้ำพริกอ่อง
    หมูสับ ใช้หมูติดมันจะอร่อย เพราะนิ่ม
    มะเขือเทศ 15-20 ลูก
    พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด (ชอบเผ็ด)
    กระเทียม 5 กลีบ (กระเทียมฝรั่ง)
    หอมแดง 3 หัว (หอมแดงฝรั่ง)
    กะปิ 1/2 ชช

    เกลือ 1/2 ชช
    น้ำปลาดี 3-4 ชต (ชิมรสเอานะคะ)
    น้ำตาลปี๊บ 2 ชต
    น้ำมะขามเปียก 3 ชต
    ผักตามชอบ วันนี้ มีผักชี และแตงกวา 

    วิธีทำ
    1. นำพริกแช่น้ำให้เปื่อย นำพริก กระเทียม หัวหอม กะปิ รากผักชี นำไปใส่ครกโขลกรวมกันหรือใส่ในเครื่องปั่นบดให้เข้ากัน พร้อมมะเขือเทศให้ละเอียด
    2. นำเครื่องแกงที่ได้ (จากข้อ 1) ลงผัดในน้ำมันให้หอม
    3. นำเนื้อหมูสับใส่ลงผัดต่อให้สุก
    4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำมะขามเปียก ให้ได้ออกสามรส คือ เปรี้ยว หวาน เค็ม
    5. แค่นี้ก็เสร็จ ตักใส่ถ้วยได้ทานกับผักสดตามชอบแล้ว

    สูตรที่ 3 น้ำพริกอ่อง สูตรอร่อยต้องลอง

    เป็นสูตรน้ำพริกอ่องสูตรดั้งเดิมต้นตำรับที่วิชัย ทาเปรียว ข่าวสดเชียงใหม่นำมาบอกกล่าวกัน มีเครื่องปรุงและวิธีทำอย่างไรบ้าง…ไปดูกัน

    เครื่องปรุง
    หมูสับ 250 กรัม
    มะเขือเทศลูกใหญ่ 3-4 ลูก
    พริกแห้งบางช้างหั่นเป็นท่อน
    (เอาเมล็ดออกแช่น้ำ 3 เม็ด)

    ข่า 2 แว่น
    กะปิปิ้งไฟ หรือถั่วเน่า 1 ช้อนชา
    หอมแดง 2 หัว
    กระเทียมกลีบเล็ก 4 กลีบ
    รากผักชี 2 ราก
    กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำปลา พอประมาณ
    น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
    รสดีรสหมู 1 ช้อนชา
    ต้นหอมซอย พอประมาณ
    ผักชีซอย พอประมาณ

    วิธีทำ
    1. นำมะเขือเทศมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เท่าที่จะเล็กได้ ต้นหอมผักชีซอยเตรียมไว้
    2. ลงมือเตรียมเครื่องน้ำพริกเอาไว้ เริ่มจากนำพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม ข่า รากผักชี กะปิหรือถั่วเน่าใส่ครกแล้วโขลกให้ละเอียดเข้ากัน นำหมูสับลงไปย้ำกับครกให้เข้ากับเครื่องแกงน้ำพริกที่โขลกไว้ นำมะเขือเทศที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในครกแล้วย้ำให้เข้ากัน แต่อย่าให้ละเอียด
    3. นำกระทะตั้งไฟ (ใช้ไฟอ่อนๆถึงปานกลาง) ใส่น้ำมันลงไป พอร้อนใส่กระเทียมสับที่เหลือลงไป ผัดให้หอม 
    4. นำเครื่องที่โขลกกับหมูไว้ลงผัดให้ทั่ว ใส่รสดีรสหมูลงไปผัดด้วยไฟอ่อน (คั่วน้ำพริกแกงอย่าให้ไหม้ เพราะจะทำให้มีรสขมได้)
    5. ปรุงรสด้วยน้ำปลา แล้วเคี่ยวจนกระทั่งมะเขือเทศเปื่อย
    6. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยผักชี ต้นหอม เสิร์ฟพร้อมกับผักสด และแคบหมู

    เครื่องเคียงรับประทานกับน้ำพริกอ่อง
    แคปหมู, ข้าวเหนียว หรือข้าวสวย
    ผักต้มหรือนึ่งตามชอบ เช่น ฟักทอง, กะหล่ำปลี, ฟักเขียว, บวบ, ดอกแค, หัวปลี
    ผักสด เช่น ยอดกระถิน, ถั่วพู, แตงกวา, มะเขือเปราะ, ถั่วฝักยาว, ผักไผ่, ผักชีฝรั่ง, สะระแหน่, ผักกาดขาว

    แนะนำเพิ่มเติม
    • มะเขือเทศควรจะใช้มะเขือเทศผลเล็กชนิดเป็นพวง คือมะเขือส้ม ตามที่คนภาคเหนือเรียก เพราะจะมีรสเปรี้ยวกว่ามะเขือเทศผลใหญ่ 
    • ส่วนเนื้อหมูควรจะเป็นหมูติดมันเล็กน้อย (จะนิ่มและอร่อย) และสับให้ขาดไม่ติดเป็นพวง หรือเลือกใช้ส่วนสะโพกหมู หรือหมูเนื้อแดง หรือหมูส่วนสันนอกจะอร่อยกว่าแบบซื้อหมูบดสำเร็จครับ… (ซื้อที่ตลาดให้เค้าบดมาเลยก็ได้ครับ)
    • ถ้าจะให้ดีกับสุขภาพควรทานคู่กับผัก จะได้ช่วยในระบบขับถ่ายได้ดี และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรทานกับผักสด (เพราะผักต้มจะสูญเสียวิตามินซีไปกับการต้ม) นอกจากนี้ สามารถเลือกรับประทานคู่กับผักที่มีในท้องถิ่นของเราเอง ถ้าหากอยากจะได้รับสารอาหารหลากหลายจากผัก ก็ควรรับประทานกับผักหลากสีหลากชนิดนะครับ
    • ในมะเขือเทศอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่มากมาย ทั้งวิตามินซีสูงช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยชุ่มชื่น มีสารไลโคพีน มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอย มีวิตามินเอบำรุงสายตา มีฤทธิ์ในการช่วยขับปัสสาวะ ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ช่วยระบบการย่อย ช่วยการขับถ่ายอุจจาระ และประโยชน์อีกมากมาย
    • ควรระวังปริมาณไขมัน ดังนั้นน้ำมันพืชที่ใช้ผัด...ควรใส่ให้น้อย

    วิธีทำปลากระพงนึ่งมะนาว

    สูตรปลากระพงนึ่งมะนาว อร่อยแซ่บเวอร์ จานนี้ต้องลองสูตรอาหารไทย ปลากระพงนึ่งมะนาว แรกเริ่มเดิมที่นั้นเป็นอาหารพื้นบ้านภาคกลาง ปัจจุบันกลายเป็นเมนูอาหารไทยยอดฮิตที่แทบทุกร้านอาหารต้องมี อีกหนึ่งเมนูที่มักจะสั่งทานเสมอเวลาไปทานข้าวนอกบ้าน สูตรอาหารปลากระพงนึ่งมะนาวเป็นการนำปลาสดๆมานึ่งจนสุกหอม แล้วราดด้วยน้ำปรุงรสจัดจ้าน เปรี้ยว แซ่บถึงใจ อีกหนึ่งเมนูเด็ดรสชาติเข้มข้นจัดจ้านครบรสตามแบบฉบับอาหารไทย รับประทานร้อนๆได้ความหอมจากเนื้อปลา อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และปราศจากไขมัน เป็นเมนูอาหารไทยที่อยากให้ทุกท่านมาลองชิมมากๆครับ วันนี้ครัว zabwer.com จึงได้นำสูตรปลากระพงนึ่งมะนาวมาฝาก และวิธีทำก็ทำไม่ยาก…สูตรก็ตามนี้เลยครับ



    ส่วนผสม 
    1. ปลากระพงขาวหนัก 7 ขีด
    2. กระเทียมสับหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ
    3. พริกขี้หนูสับหยาบ 10-30 เม็ด
    (ถ้าใช้พริกขี้หนูสวนจะหอมและเผ็ดมากกว่า ปริมาณแล้วแต่ชอบ ถ้าใส่ 10 เม็ดสำหรับเผ็ดน้อย ... 30 เผ็ดมาก)
    4. รากผักชีสับหยาบๆ 3 ราก
    5. ต้นหอมสับ 3 ช้อนโต๊ะ
    6. น้ำมะนาว 3 - 4 ช้อนโต๊ะ
    7. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
    8. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

    วิธีทำ
    1. นำปลากระพงมาขอดเกล็ด ควักเอาพุงปลาออก ล้างให้สะอาด แล้วบั้งขวางเนื้อปลาข้างละ 3 บั้งให้ถึงกระดูก แล้วสะเด็ดน้ำให้แห้ง
    2. ก่อนนำปลาไปนึ่งให้ใช้น้ำส้มสายชูและเกลืออย่างละ 1 ช้อนชา ผสมกัน แล้วนำไปทาตัวปลาให้ทั่ว วางใส่จาน พักไว้
    3. นำน้ำสะอาดใส่ในซึ้ง ต้มให้น้ำเดือด จากนั้นให้นำปลากระพง (จากข้อ 2) ลงนึ่งในซึ้งเลยครับ แล้วปิดฝาหม้อ นึ่งไฟแรงประมาณ 10-15 นาที จนกระทั่งปลาสุก จากนั้นให้ยกปลาออกมา เทน้ำในจานปลาออกโดยใส่ถ้วยไว้ต่างหาก…อย่าทิ้ง
    4. ระหว่างรอปลาสุก ให้ทำน้ำปรุงรสใส่ชามเตรียมไว้ โดยผสมกระเทียมสับ ต้นหอมสับ พริกขี้หนูสับ รากผักชีสับ น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน แล้วก็เติมน้ำจากตัวปลาลงไปผสมด้วย ชิมและเติมรสให้ถูกใจ 
    5. นำปลาที่นึ่งสุกแล้ว ราดด้วยน้ำปรุงรสที่เตรียมไว้ เสิร์ฟร้อนๆ ประดับด้วยมะนาวฝานเป็นแว่นๆ โรยหน้าด้วยใบสะระแหน่ และผักชีไทยสับตามชอบครับ
    (สำหรับเสิร์ฟรับประทาน 2 ที่)

    แนะนำเคล็ดลับการนึ่งปลา
    • อาจเพิ่มผักลงไปในเมนูปลากะพงนึ่งมะนาว โดยวางผักต่างๆรองตัวปลาแล้วนำไปนึ่ง
    • ปลานึ่งมะนาว ไม่ว่าจะใช้ปลาอะไรทำนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องนึ่งปลาให้สุกเสียก่อน การที่จะนึ่งปลาไม่ให้คาวและเนื้อเละ ที่เป็นเหตุทำให้ทานปลาไม่อร่อย มีวิธีแก้ปัญหาดังนี้คือ ก่อนจะนำปลาไปนึ่งให้ใช้น้ำส้มสายชู และเกลืออย่างละ 1 ช้อนชา ผสมกัน ทาตัวปลาให้ทั่ว นำตะแกรงไปวางรองลังถึง จากนั้นให้นำปลาลงไปนึ่งในน้ำเดือดไฟแรง…จนปลาสุก ก็จะไม่มีกลิ่นคาวและเนื้อปลาก็จะไม่เละ

    ข้าวคลุกกะปิอาหารจานเดียว สูตรอร่อยจนต้องบอกต่อ

    สำหรับเมนูอาหารวันนี้ zabwer.com ขอแนะนำข้าวคลุกกะปิ (shrimp paste fried rice) สูตรอาหารจานเดียวแสนอร่อย เมนูอาหารภาคกลาง ที่จริงๆแล้วเป็นเมนูอาหารไทยที่ทำง่ายๆ แต่อาจใช้เวลาทำนานก็เพราะต้องเตรียมเครื่องเคียงข้าวคลุกกะปิหลายอย่าง แต่เมื่อทำเสร็จแล้วก็คุ้มค่ากับการรอคอยยิ่งนัก ด้วยเสน่ห์ของข้าวผัดที่มีกลิ่นหอมฉุยของกะปิและมีรสอร่อยออกเค็มๆนิด บวกกับความเปรี้ยวของมะม่วงซอยเส้น ตัดด้วยรสชาติหวานๆของหมูหวาน แล้วไหนจะเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอื่นๆอีก ไม่ว่าจะเป็นไข่เจียวฝอย กุนเชียงทอด กุ้งแห้งทอด หอมแดง ถั่วฝักยาว แตงกวา พริกขี้หนู และมะนาว แค่พูดขึ้นมานี่…ก็นึกหิวข้าวขึ้นมาแล้ว


    ส่วนผสม
    ข้าวหอมมะลิที่หุงสุกเม็ดสวยๆ (แม่อบเชยใช้ข้าวที่หุงไว้แล้วเก็บในตู้เย็น) 4 ถ้วย
    กระเทียมสับ 5-6 กลีบ
    กะปิอย่างดี 4 ช้อนโต๊ะ
    น้ำเปล่าหรือน้ำซุป 1/4 ถ้วย
    น้ำมันพืชสำหรับผัดข้าว 1-2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำปลา (ใส่ หรือไม่ใส่ก็ได้)
    น้ำตาลทราย (ใส่ หรือไม่ใส่ก็ได้)


    เครื่องเคียง :ไข่ฝอย กุนเชียง กุ้งแห้ง หอมแดง ถั่วฝักยาว พริกขี้หนู มะม่วงน้ำดอกไม้ดิบ หมูหวาน
    ดังนี้   ไข่เจียวทอดบางหั่นฝอย (ไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้) 4 ฟอง
              กุนเชียงทอดหั่นแว่น
              กุ้งแห้งทอด 4 ช้อนโต๊ะ
              หอมแดงซอย 4 ช้อนโต๊ะ
              ถั่วฝักยาวหั่นเป็นท่อนขนาดเล็ก 8 ช้อนโต๊ะ
              พริกขี้หนูซอย
              มะม่วงเปรี้ยวซอยเป็นเส้น 1 ½ - 2 ถ้วย
              หมูหวาน

    สำหรับส่วนผสมและวิธีทำหมูหวานสามารถดูได้ที่นี่ครับ หมูหวานเลิศรส ทานกับอะไรก็อร่อย

    วิธีทำ 
    1. มาเตรียมเครื่องเคียงให้พร้อมก่อนเลย ง่ายๆดังนี้
    • เจียวไข่บางๆโดย คนไข่1ฟองกันน้ำซุปหรือน้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ ให้ไข่แดงและไข่ขาวเข้ากันแต่ไม่มีฟอง 
    • ตั้งกระทะใช้ไฟอ่อนๆ ทาน้ำมันพืชเล็กน้อย (ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ) ให้ทั่วกระทะ เมื่อกระทะร้อนเทไข่ลงกลางกระทะ กลอกไข่เป็นแผ่นกลมบางๆ หนาเท่าๆกัน จนไข่เริ่มสุก ปิดไฟ แล้วพับม้วนจนหมด นำมาหั่นเป็นเส้นเล็กฝอยๆ
    • แช่กุนเชียงในน้ำร้อน จนผิวด้านนอกบวม น้ำมาหั่นบาง แล้วนำไปคั่วในกระทะที่ไม่ใส่น้ำมัน คนไปมาตลอด จนกุนเชียงสุกและน้ำมันออกมา ตักขึ้นพักไว้ 
    • กุ้งแห้งนำไปแช่น้ำให้นิ่ม ซาวขึ้นมาพักไว้สะเด็ดน้ำให้หมด แล้วนำไปทอดในน้ำมันที่ออกมาจากกุนเชียง ทอดจนสุกเหลืองกรอบ ตักขึ้นพักไว้
    • หั่นหอมแดงตามยาวบางๆ มะม่วงขูดเป็นเส้น ถั่วฝักยาวหั่นตามขวาง พริกขี้หนูซอย มะนาวหนึ่งลูกผ่าเป็น 2 ซีก
    2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช ใช้ไฟอ่อนๆ ใส่กระเทียมลงไปเจียว…พอกระเทียมเริ่มเหลือง ก็ให้ใส่กะปิลงไปยีด้วยปลายตะหลิวให้กะปิกระจายไม่เกาะกันเป็นก้อน แล้วก็ผัดๆ ไปสักแป๊บ (หรือจะห่อแล้วนำไปย่าง) จนกะปิสุกส่งกลิ่นหอมดี ก็ให้ใส่น้ำซุปหรือน้ำเปล่าลงไปคนให้ละลาย จากนั้นก็ใส่ข้าวสวยตามลงไปเลยครับ จากนั้นก็ผัดๆที่ใช้ไฟอ่อนๆ คลุกเคล้าให้กะปิกับข้าวเข้ากันดี เมล็ดข้าวมีสีสวยสม่ำเสมอกัน (อย่าให้กะปิเกาะติดขาวเป็นก้อนๆ) ชิมดูถ้าจืดไปก็เติมน้ำปลา…และใส่น้ำตาลทรายลงไปเล็กน้อยถ้าชอบ (ใส่หรือไม่ก็ได้ครับ) เมื่อรสชาติเป็นที่พอใจแล้วก็ปิดไฟ ตักใส่จานและพักไว้

    3. มาจัดจาน เตรียมหม่ำกัน…เริ่มด้วยอัดข้าวลงพิมพ์ใส่จาน ตกแต่งด้วยเครื่องเคียงทั้งหมดที่เตรียมไว้วางลงไปอย่างละนิดละหน่อย เช่น ไข่ฝอย หมูหวาน กุ้งแห้งทอด กุนเชียงทอด มะม่วงซอย หอมแดง พริกขี้หนูสวน แตงกวา ผักชี(โรยหน้า) และมะนาว หรือนอกจากนี้หมูหวานอาจจะตักใส่ถ้วยเล็ก ๆ แยกไว้ต่างหากก็ได้แล้วแต่ความชอบ… ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย


    เคล็ดลับเพิ่มความอร่อย
    • น้ำมันที่ใส่ผัดข้าวคลุกกะปิไม่ควรใส่มากเกินไป เพราะจะทำให้แฉะและเลี่ยน ไม่น่ากิน 
    • กะปิที่ใช้ควรเลือกใช้เป็นกะปิอย่างดี สีธรรมชาติ รสชาติไม่เค็มมาก
    • ข้าวสวยที่ใช้ผัดต้องไม่แฉะ นอกจากนี้ เมื่อข้าวสุกใหม่ร้อนๆ ควรเกลี่ยใส่ถาดให้ข้าวเย็นก่อนจึงนำมาผัด หรือใช้ข้าวที่หุงไว้แล้วเก็บในตู้เย็นด็ได้ (เพื่อข้าวจะได้ไม่เกาะตัวเป็นก้อน )
    • มะม่วงที่ใช้: ควรเลือกเป็นมะม่วงเปรี้ยวจะอร่อยที่สุด เช่น มะม่วงแก้ว มะม่วงน้ำดอกไม้ ฯลฯ หรือถ้าไม่มีจริงๆอาจประยุกต์ใช้ถ้ามะม่วงไม่ค่อยเปรี้ยว…เราก็บีบมะนาวใส่ลงไป คลุกเคล้ามะม่วงกับมะนาวให้เข้ากันก็อร่อยใช้ได้ครับ
    • กุ้งแห้งควรเลือกเป็นกุ้งแห้งอย่างดี รสชาติไม่เค็มมาก เลือกที่มีสีธรรมชาติมีส้มอ่อนๆ ตัวขนาดกลาง แต่ถ้าเค็มมากเราก็นำไปล้างน้ำก่อนก็ได้ครับ (เพื่อลดความเค็ม) แล้วจึงนำกุ้งแห้งไปทอดพอหอมๆ ก็ใช้ได้แล้ว
    • นอกจากนี้ สามารถใส่ไข่เค็มเพิ่มเข้าไปได้ เลือกลูกที่ไข่แดงฉ่ำ ๆ ปอกเปลือก แล้วก็ผ่า 4 หรือผ่า 6 ส่วนตามชอบครับ

    วิธีทำขนมถ้วยตะไล 2 สูตรอร่อย ใครกินเป็นต้องขอเบิ้ล

    เมื่อกล่าวถึง “ขนมถ้วยตะไล” (Steamed Pandanus Cakeหรือ kanom tuay) ที่คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เรียกว่า “ขนมถ้วย” เป็นขนมหวานไทยโบราณที่มีมาช้านานแล้ว และเหตุที่คนโบราณนั้นทำขนมใส่ในถ้วยตะไลใบเล็กหรือถ้วยกระเบื้องขนาดเล็กพอดีคำ นี่เอง จึงเป็นที่มาเรียกขนมชนิดนี้ว่า “ขนมถ้วยตะไล” ส่วนรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง ด้วยขนมถ้วยมีเนื้อนุ่ม หอมกลิ่นใบเตยคั้นสด หวานพอดีๆตัดกับรสเค็มมันของหน้ากะทิ ให้รสหอมหวานมัน กลมกล่อมกำลังดี ลองได้กินแล้วเป็นต้องกินอีกขอเบิ้ลอีกหลายถ้วย…และยังเป็นขนมที่ทำง่ายและวัตถุดิบก็หาได้ง่ายอีกด้วย zabwer.com จึงไม่รีรอจึงได้หาสูตรวิธีทำขนมถ้วยอร่อยๆ และเคล็ดลับดีๆมาฝากกันครับ

    ขนมถ้วยเป็นขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวจ้าว น้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลโตนด กะทิ เกลือ และใบเตยคั้นสด โดยแบ่งขนมเป็น 2 ส่วน คือ “ตัวขนม” และ”หน้าขนม” วิธีการทำคือ ผสมแป้งส่วนตัวขนมให้เข้ากันและผสมกะทิส่วนหน้าขนมให้เข้ากัน พักไว้ จากนั้นจึงนำแป้งตัวขนมที่เตียมไว้ใส่ในถ้วยตะไลประมาณครึ่งถ้วยแล้วนำไปนึ่งให้สุก แล้วจึงใส่กะทิหน้าขนมที่เตียมไว้ตามลงไป นึ่งต่อจนสุก พักทิ้งไว้รอขนมเย็น ก็พร้อมรับประทานได้แล้ว


    อุปกรณ์เพิ่มเติม
    • ซึงนึ่ง
    • ถ้วยตะไล สำหรับหยอด

    สูตรที่ 1

    ขนมถ้วยใบเตยสูตรนี้เป็นสูตรหวาน มัน หอม กลมกล่อมพอดีเลย เป็นสูตรมาจากคุณคุณพล ตัณฑเสถียร ขนมหอม หวาน ตัวแป้งไม่แข็งด้วย หอมกลิ่นใบเตย อร่อยมากๆๆ 

    ส่วนผสมของตัวขนม
    • แป้งข้าวจ้าว 55 กรัม
    • แป้งถั่วเขียว 1ช้อนโต๊ะ
    • แป้งท้าวยายม่อม 3 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำตาลปึก 140 กรัม. (ไม่ชอบหวานสามารถลดลงได้)
    • หางกะทิ 1 ถ้วยตวง
    • น้ำใบเตยเข้มข้น ¼ ถ้วยตวง
    ส่วนผสมของหน้าขนม
    •  แป้งข้าวจ้าว 35 กรัม
    •  หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
    • เกลือป่น1+1/2 ช้อนชา
    วิธีทำ 
    1. ต้มน้ำประมาณ 1 ถ้วย พอเดือด ก็ขยำใบเตยลง ไปประมาณ 2 ใบ ต้มต่อประมาณ 5 นาที ก็จะได้ น้ำใบเตย 

    2. ทำตัวขนม โดยผสมแป้งทั้งสามชนิดเข้าด้วยกัน ใส่น้ำตาลปึกและน้ำต้มใบเตยลงไป ใช้มือนวดให้แป้งและน้ำตาลละลายเป็นเนื้อเดียวกัน…ใส่กะทิตามลงไป…แล้วกรอง 1ครั้ง…พักไว้

    3. ทำหน้าขนม โดยผสมส่วนประกอบทั้งหมดให้เข้ากันดี และกรอง1ครั้ง…พักไว้ 

    4. จัดเรียงถ้วยตะไลในลังถึง นำไปตั้งไฟให้ร้อนดี…พอถ้วยร้อนจึงรีบเปิดฝาลังถึง…ใส่ส่วนผสมตัวขนมลงไป ประมาณ ¾ ของถ้วย…ปิดฝา นึ่งประมาณ 7 นาที หรือจนตัวขนมสุก (มีลักษณะผิวขนมตึง)

    5. เปิดฝาลังถึง หยอดตัวหน้าขนมลงไป นึ่งต่อประมาณ 5 นาที จนสุกดี (อย่านึ่งนานไป…เพราะตัวหน้าขนมจะแตก)

    6. รอให้ขนมเย็นแล้วค่อยแคะขนมออกจากถ้วย ก็พร้อมรับประทาน

    สูตรที่ 2

    สำหรับใครที่ไม่มีแป้งถั่วเขียว ลองทำสูตรนี้ดูนะครับ เป็นสูตรจากคุณ kanji เป็นอีกสูตรขนมถ้วยตะไลใบเตยอร่อย นุ่มๆ หอมๆ หวานมัน 

    ส่วนผสมตัวเนื้อขนมถ้วย
    • แป้งข้าวจ้าว 1/2 ถ้วยตวง
    • แป้งท้าว 3 ช้อนโต๊ะ
    • หางกะทิ 1 ถ้วยตวง
    • น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 1/4 ถ้วยตวง
    • น้ำตาลปี๊ป 140 กรัม (ชอบหวานเพิ่มได้)
    ส่วนผสมตัวหน้าขนมถ้วย
    • หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
    • แป้งข้าวจ้าว 4 ช้อนโต๊ะ
    • เกลือป่น 1 ช้อนชา

    ขั้นตอนการเตรียมส่วนเนื้อขนม
    1. นำแป้งข้าวจ้าวและแป้งท้าวใส่อ่างผสม คนให้เข้ากัน

    2. จากนั้นทะยอยใส่น้ำใบเตย หางกะทิและน้ำตาลปี๊ปลงไปใช้มือนวดให้ส่วนผสมเข้ากันดี (การนวดจะทำให้เนื้อขนมยืดหยุ่นนุ่มเหนียว ไม่กระด้าง) นวดไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมหมด ที่สำคัญน้ำตาลปี๊ปที่ใช้ควรเลือกแบบดีๆ ขนมของเราจะได้หอม หวาน

    3. สุดท้ายจะได้ส่วนผสมเหลวๆ ออกมาแบบนี้

    4. นำส่วนผสมไปกรองด้วยตะแกรงตาถี่เอาตะกอนหรือสิ่งตกค้างออก ขนมจะได้เนียนๆ…พักไว้


    ขั้นตอนการเตรียมส่วนหน้าขนม
    1. คราวนี้มาทำตัวหน้าขนมกันต่อ…นำหัวกะทิใส่ชามผสม ใส่แป้งข้าวจ้าวกับเกลือป่นลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี 

    2. นำส่วนผสมไปกรองด้วยตะแกรงตาถี่ๆ อีกครั้ง เป็นอันเสร็จ พักไว้ก่อนค่ะ

    วิธีทำขนมถ้วย
    1. คราวนี้ก็ถึงเวลานึ่งขนมกันแล้ว เอาน้ำใส่หม้อนึ่งเปิดไฟแรงจนเดือดรอไว้ก่อนเลย…นำถ้วยตะไลวางเรียงใส่ลังถึง…จากนั้นก็นึ่งขนมต้องนำถ้วยตะไลไปนึ่งให้ร้อนประมาณ 5 นาที (จะช่วยให้ขนมไม่ตกตะกอนลงมาที่ก้นถ้วย)


    2. เมื่อถ้วยตะไลร้อนได้ที่ ตักส่วนผสมตัวเนื้อขนมใส่ลงไปในถ้วย ประมาณ 3/4 ของถ้วย เวลาตักขนมใส่ลงไปให้คนด้วยตลอดเวลา (ป้องกันแป้งตกตะกอน) แล้วนำไปนึ่งในหม้อนึ่งที่น้ำเดือดไฟแรงประมาณ 7-8 นาที ขึ้นอยู่กับความหนาและปริมาณขนมในถ้วย แต่วันนี้เราใช้เวลานึ่ง 7 นาที ขนมก็สุกกำลังดี

    - 7 นาที ผ่านไป ขนมของเราก็สุกได้ที่แล้ว

    3. ตักส่วนผสมหน้ากะทิใส่ลงไปให้เต็มถ้วย จากนั้นผิดฝาหม้อนึ่ง แต่ก่อนปิดอย่าลืมใช้ผ้าเช็ดไอน้ำที่ติดอยู่ที่ฝาหม้อออกให้แห้ง (ไอน้ำจะได้ไม่หล่นลงไปบนหน้าขนม ทำให้ขนมเราเสียโฉม) ขั้นตอนนี้ใช้เวลานึ่ง 10 นาที

    - เมื่อขนมสุกได้ที่แล้ว …จะมีลักษณะแบบรูปด้านบน

    - พักไว้ให้เย็นสักนิด…แล้วจึงแคะขนมพร้อมรับประทาน ซึ่งขนมถ้วยที่ดีต้องร่อนไม่ติดถ้วย

    - ขนมถ้วยที่ดี หน้าจะต้องขาวเนียน กะทิแตกมัน มีลักษณะย่นๆ ยับๆ

    เคล็ดลับความอร่อย
    • ความอร่อยของขนมถ้วยใบเตยนั้น ขึ้นอยู่กับน้ำต้มใบเตยและคุณภาพของกะทิ และน้ำตาล
    • แป้งถั่วเขียว จะทำให้ขนมอยู่ตัว ไม่เหนียวมากเกินไป
    • การคั้นมะพร้าว ควรใช้มะพร้าวขูดขาวที่แก่ ขูดใหม่ๆคั้น โดยใช้มะพร้าวขูดขาว 1/2 กิโลกรัม คั้นด้วยน้ำอุ่น 1 ถ้วย โดยใส่น้ำอุ่นคั้นทีละน้อย คั้นสัก 1 ครั้งจะได้กะทิ 2 ถ้วย แล้วช้อนเอาหัวกะทิ 1 ถ้วย และ หางกะทิ 1 ถ้วย ขนมจะมีกลิ่นหอม รสหวาน และมีความมันของกะทิ 
    • ขนมถ้วยที่ดี หน้าจะต้องขาวเนียน กะทิแตกมัน มีลักษณะย่นๆ ยับๆ และเมื่อเวลาที่เราแคะขนม…ขนมต้องร่อนไม่ติดถ้วย
    • ขนมถ้วยที่อร่อยนั้น ตัวขนมจะมีรสหวานหอมน้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลโตนดและไม่แข็งกระด้าง ส่วนหน้าขนมต้องมีรสมันด้วยกะทิและมีรสเค็มนิดๆ